วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

世界から猫が消えたなら⑥

ตอนที่6 วันเสาร์

ถ้าผมหายไปจากโลกนี้

เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าแคบเบจยังนอนอยู่ข้างๆเขาซึ่งก็หมายความว่าแมวยังไม่ได้หายไปจากโลกนี้ หรืออีกความหมายก็คือเขากำลังจะหายไปจากโลกนี้นั่นเอง ทั้งๆที่เขาสามารถเลือกกำจัดโทรศัพท์ หนัง นาฬิกาออกจากไปจากโลกได้ แต่เขาไม่สามารถเลือกกำจัดแมวได้ อาจฟังดูเป็นเรื่องที่น่าโง่เขลานักที่จะยอมตายแทนแมวตัวหนึ่ง แต่เขาก็คิดได้ว่า การไปขโมยสิ่งอื่นจากคนอื่นมาเพื่อแลกกับการยืดชีวิตเขาจะเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุข เขาจึงตัดสินใจเลิกที่จะกำจัดของออกจากโลกนี้ และยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา


誰かから何かを奪って、生き延びることが幸せだとは思えなかった。それが太陽だって、海だって、空気だって、猫と何ら変わりなく思えた。だから僕は世界から何かを消すのをやめた。 (p.195)

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558

世界から猫が消えたなら⑤

ตอนที่5 วันศุกร์

・เล่าความหลังเรื่องเลตัส

・ในขณะที่ไม่สามารถเลือกที่จะลบแคบเบจออกจากโลกได้ แคบเบจก็ได้หายตัวไป

・ระหว่างที่วิ่งตามหาแคบเบจเขาก็ได้นึกถึงวันที่เขาไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลเมื่อ 4 ปีก่อน แต่พ่อยังไม่
มาเพราะบอกว่าจะซ่อมนาฬิกาข้อมือของแม่ให้เสร็จก่อนถึงค่อยมาหา แต่แม่ก็ได้เสียชีวิตก่อนที่พ่อจะมาถึงโรงพยาบาล เขาเลยโกรธพ่อมากและไม่คุยกับพ่อตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

・เขาเคยคิดว่า家族だから。そこにいることが当たり前で当然いつまでもうまくやっていけるものだと信じて疑わなかった。แต่ความจริงแล้ว 家族って「ある」ものじゃなかった。家族は「する」ものだったんだ。 p.176

・เขาวิ่งมาถึงหน้าโรงหนังและในที่สุดก็เจอแคบเบจที่นั่น และก็ได้พบรักแรกของเขาอีกครั้ง

・สาวรักแรกได้ยื่นจดหมายฉบับนึงให้เขา เป็นจดหมายที่แม่ของเขาเคยฝากไว้กับเธอ เป็นจดหมายเกี่ยวกับสิ่งที่อยากทำ 10 อย่างก่อนตาย แต่สิ่งที่แม่อยากทำทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ทำเพื่อเขา แม่จึงเปลี่ยนมาเขียนสิบข้อดีของเขาแทน และขอให้มีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่ลืมข้อดีทั้งหมดนี้

・แคบเบจพยายามบอกว่าไม่ต้องห่วง ให้เขาเลือกที่จะลบแมวออกจากโลก

・ท้ายสุดของจดหมายแม่เขียนบอกให้เขาคืนดีกับพ่อ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

世界から猫が消えたなら④

ตอนที่ 4 วันพฤหัส

เมื่อนาฬิกาหายไปจากโลก

・จู่ๆแคบเบจแมวที่เขาเลี้ยงไว้ก็พูดได้ด้วยเวทมนตร์ของอะโลฮ่า เมื่อแคบเบจพูดได้เขาถึงได้เข้าใจความรู้สึกของแคบเบจมากขึ้น เขามักจะเข้าใจเเคบเบจผิดเสมอ เช่น แคบเบจอยากไปเดินเล่นเขาจะคิดว่าอยากกินข้าว เมื่ออยากกินข้าวก็จะให้แคบเบจไปนอน (ในเรื่อง)

・วันนี้เขาตัดสินใจลบนาฬิกาออกจากโลก

・เมื่อลบนาฬิกาออกก็ทำให้เขานึกถึงพ่อที่ทำงานอยู่ที่ร้านซ่อมนาฬิกาที่เมืองข้างๆขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้พบกับพ่อมา 4 ปีแล้ว

・เวลาเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเวลามาเป็นสิ่งกำหนดเขาจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนิกกับแคบเบจ

・ถึงแม้ว่าการที่มีกำหนดเวลาจะทำให้รู้สึกไม่มีอิสระในการทำสิ่งต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันการที่มีอิสระเกินไปก็ทำให้รู้สึกกังวลขึ้นมา
「人間は、不自由さと引き換えに決まり事があるという安心感を得たのだ。」p.127
"มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เมื่อกำหนดสิ่งที่แลกเปลี่ยนกับความไม่เป็นอิสระของตัวเองจะทำให้รู้สึกได้รับความสบายใจ" (เหมือนการที่มีนาฬิกาเป็นตัวกำหนดเวลาที่จะทำสิ่งต่างๆแล้วจะรู้สึกสบายใจกว่าที่ไม่มีอะไนมากำหนด)

・ในระหว่างที่เดินเล่นกับแคบเบจ เขาก็ได้คุยเรื่องต่างๆกับแคบเบจมากมาย แต่พอพูดถึงเรื่องแม่ของเขาที่เมื่อก่อนพาแคบเบจออกมาเดินเล่นเป็นประจำแคบเบจกลับจำแม่เขาไม่ได้เลย

・เขาจึงได้ค้นอัลบั้มรูปมาให้แคบเบจดู มีรูปที่เขาได้ไปเที่ยวออนเซนกับพ่อแม่และแคบเบจ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวก่อนเสียชีวิต ซึ่งการเที่ยวครั้งนี้เป็นคำขอของแม่ที่อยากไปเที่ยวพร้อมหน้ากัน แต่ก็ได้เกิดเรื่องราววุ่นวายในการเที่ยวครั้งนี้เนื่องจากการเข้าใจผิดทำให้โรงแรมที่จองไว้เต็ม ้ป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพ่อของเขสวิ่งสุดความสามารถเพื่อหาโรงแรมใหม่ จนในที่สุดก็ได้เข้าพักในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง  เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แคบเบจฟัง แคบเบจก็ไม่มีท่าทีที่จะนึกออก แต่แคบเบจก็ได้บอกกับเขาว่าถึงแม้ว่าจะนึกไม่ออก แต่มีอย่างเดียวที่จำได้คือความสุขในตอนที่ได้ถ่ายรูปนี้ เมื่อแคบเบจพูดเช่นนี้จึงทำให้เขานึกบางอย่างออกขึ้นมา ไม่ใช่ว่าแม่เขาอยากไปเที่ยวหรอก แต่แม่อยากให้เขาได้คืนดีกับพ่อต่างหาก แม้แต่ในเวลาช้่วงสุดท้ายของแม่ แม่ก็ยังใช้เพื่อเขา

・ก่อนหมดวันอะโลฮ่าก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับมาบอกสิ่งต่อไปที่จะลบไปจากโลกนี้ ซึ่งสิ่งต่อไปก็คือ แมว

จบตอนที่4

世界から猫が消えたなら③

ตอนที่3 วันพุธ

เมื่อโลกนี้ไม่มีหนัง

คำพูดที่รู้สึกเสียดแทงหัวใจที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ก็คือ คำพูดของชาร์ลี แชปลิน

 「人生は近くで見ると悲劇だけれど、遠くから見れば喜劇だ」
"ชีวิตคือโศกนาฏกรรมเมื่อคุณมองมันในมุมใกล้ แต่มันเป็นเรื่องขำขันเมื่อมองในมุมไกล"

「死と同じように避けられないものがある。それは生きることだ。」
สิ่งที่หนีไม่พ้นเหมือนกับความตายก็คือการมีชีวิตอยู่ต่อ

・พอเขาได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย เขาก็รู้สึกได้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่รู้สึกเสียดายที่ยังไม่ได้ทำ  รู้สึกได้ถึงเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ทุกอย่างบนโลกนี้ที่มีตัวตนล้วนมีเหตูผลในการมีชีวิตทั้งสิ้น แม้แต่แมงกระพรุนหรือแม้แต่ก้อนหินริมทาง

・หลังจากที่อะโลฮ่าได้ยื่นข้อเสนอครั้งใหม่ ในตอนแรกเขาลังเลที่จะลบหนังออกจากโลกนี้ (p.93)เพราะเขารู้สึกผิดกับคนที่ชอบดูหนัง และยิ่งกว่าสิ่งใดเขารู้สึกผิดที่จะการดูหนังซึ่งเป็นสิ่งที่รักแรกของเขาชอบไปจากเธอ แต่เมื่อไต่รตรองดูอีกครั้งเขาจึงคิดได้ว่าเขาก็ไม่สามารถดูหนังได้อยู่ดีถ้าเขาตายไป สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจที่จะลบหนังออกจากโลก และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายในการดูหนังกับเธอ

・เขาพยายามหาหนังที่จะได้ดูเป็นครั้งสุดท้าย จึงได้ไปหาซึตายะเพื่อนสมัยมัธยมของเขาที่เป็นโอตาคุหนังให้ช่วยเลือกหนังให้

・ซึตายะเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่พอเป็นเรื่องหนังจะคุยไม่หยุด

・ซึตายะเลือกเรื่อง「ライムライト」เป็นเรื่องรายของนักบัลเล่ต์ที่ไม่สามารถทำตามความฝันของตัวเองได้จึงฆ่าตัวตาย ซึ่งมีประโยคเด็ดของเรื่องคือ 「生きていくことは美しく素晴らしい。くらげにだって生きている意味がある」

・แต่เมื่อไปถึงโรงหนังกำลังจะแกะกล่องดูเขาก็พบว่าในนั้นไม่ได้มีแผ่นหนังใส่เอาไว้ ทำให้เขาได้คิดถึงประโยคนึงในหนัง「フォレスト・ガンプ」「人生はチョコレート箱のようだ。開けてみないと分からない。」"ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อกโกแลตถ้าไม่เปิดดูก็ไม่มีทางรู้" สุดท้ายเขาจึงเลือกดูเรื่องE.T.แทน

・E.T.เป็นหนังเรื่องแรกที่เขาได้ไปดูกับพ่อแม่ในโรงหนังตอน 3 ขวบ แต่ถึงแม้จะดูเรื่องเดิมแต่ความรู้สึกในตอนนี้ก็ไม่เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว เป็นสิ่งที่ต้องสูญเสียไปเมื่่อเป็นผู้ใหญ่

・เมื่อดูจบเธอก็ได้ถามเขาว่ารู้เหตุผลมั้ยว่าทำไมเวลาที่ดูหนังที่มีฉากจบเศร้า เธอต้องย้อนกลับมาดูอีกครั้ง เหตุผลก็คือเพราะบางทีถ้ามาดูอีกรอบอาจจะจบHappy End ก็ได้

・และเขาก็ได้นึกถึงคำพูดของแม่เขาที่ว่า「ほとんどの大切なことは、失われた後に気付くものよ」"สิ่งสำคัญส่วนใหญ่เรามักจะรู้สึกว่ามันสำคัญก็ตอนที่ได้สูญเสียมันไปแล้ว" ขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้รู้สึกแล้วกับการที่เขาลบหนังออกไป

จบตอนที่3


 

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

世界から猫が消えたなら②

ตอนที่2 วันอังคาร

เมื่อโลกนี้ไม่มีโทรศัพท์

เริ่มต้นมาด้วยการเล่าเรื่องอดีตของพระเอก

・ตอนพระเอกอายุ5ขวบ แม่ได้เก็บแมวตัวนึงมาเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อให้ว่าเลตัส ซึ่งที่จริงแม่เป็นโรคแพ้ขยสัตว์แต่เมื่อเลตัสได้เข้ามาอยู่ในบ้าน อาการของแม่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งเหมือนกับคำที่แม่คอยพร่ำบอกอยู่บ่อยๆว่า 「何かを得るためには、何かを失わなくてはね」(เพื่อให้ได้สิ่งบางอย่างมา ก็ต้องมีบางอย่างที่สูญเสียไป) แต่เมื่อผ่านไป 11 ปีเลตัสก็เป็นเนื้องอกตาย ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็เอาแต่เก็บตัวอยู่กับบ้าน ไม่ดป็นอันทำอะไร

・จนหนึ่งเดือนผ่านไประหว่างทางกลับบ้านแม่ก็ได้ไปเจอลูกแมวตัวนึงหน้าตาเหมือนเลตัสเปี๊ยบ แม่เลยได้เก็บลูกแมวตัวนั้นมาเลี้ยง

・แต่ทว่าเมื่อ 4 ปีก่อนแม่ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยเนื้องอกเหมือนเลตัส

กลับมาต่อที่ปัจจุบัน

・เมื่อวานเขาได้ลบโทรศัพท์ออกไปจากโลก แต่ก่อนจะลบอะโลฮ่าก็ได้ให้สิทธิพิเศษในการโทรครั้งสุดท้าย เขาจึงเลือกที่จะโทรหารักแรกของเขา และนัดเจอกันในวันนี้

・เขาได้นั่งรถไฟไปหาเธอ บรรยากาศในรถไฟวันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆอีกต่อไป ไม่มีใครที่เล่นโทรศัพท์แม้แต่คนเดียว มีแต่คนนั่งอ่านหนังสือและฟังเพลง

・แต่การหายไปของโทรศัพท์นี้ไม่ได้เป็นการหายไปตั้งแต่เริ่มต้น ตามป้ายประกาศก็ยังมีป้ายโฆษณาที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้อยู่ แต่เป็นการหายในรูปแบบของวัตถุ แต่เป็นตัวตนของโทรศัพท์ที่หายไปทำให้ไม่มีใครสนใจ เปรียบเหมือนของใช้วิเศษของโดราเอมอน "หมวกหินริมทาง" ที่เมื่อใครสวมหมวกนี้ไปจะกลายเป็นมีตัวตนเหมือนก้อนหินริมทางที่ไม่มีใครใส่ใจ 「この世界から消えていない。だが、誰も気づかない」」p.52

・เขาได้ตระหนักถึงความสำคัญของโทรศัพท์อีกครั้งก็ตอนที่เมื่อถึงเวลานัดแต่รักแรกของเขาก็ไม่โผล่มาซักที เขาจึงทำได้แค่ยืนรอเธอต่อไปจนผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเธอถึงได้มา

・เขาจึงได้เล่าเรื่องที่ว่าเขากำลังจะตายให้เธอฟัง รวมถึงเล่าเรื่องอดีตที่เคยผ่านกันมา

・ในอดีตเขาเป็นคนพูดน้อย แต่พอคุยโทรศัพท์แล้วจะพูดมากขึ้นมาทันที

・สมัยตอนที่ยังคบกันอยู่เธอก็สนิทกับแม่ของเขามาก

・แต่เหตุผลที่เลิกกัน เหตุผลยิบๆย่อยๆก็คือเขาไม่เคยจำรายละเอียดอะไรของเธอไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เธอชอบกิน หรือ สัตว์ที่เธอชอบ หรืออะไรได้เลย แต่เหตุผลหลักมาจากทริปเดทที่ไปเที่ยวที่บัวโนสไอเรส ในระหว่างการเดินทางเขาได้พบกับทอมที่ที่พักแห่งหนึง ทอมกำลังเดินทางไปรอบโลก ซึ่งทอมก็ได้สอนเขาในหลายๆเรื่อง 「この世界にはたくさんの残酷なことがる。でもそれと同じぐらい美しいものがある。」(ในโลกนี้มีหลายอย่างที่เป็นสิ่งที่โหดร้าย แต่ในขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่สวยงามอยู่ไม่แพ้กัน) แต่คืนก่อนที่ทั้งคู่จะกลับญี่ปุ่นก็ได้รู้ว่าทอมนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว เซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับรู้ถึงความตาย ระหว่างทางกลับบนเครื่องบินทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่นวันต่อมาพวกเขาก็เลิกกันโดยผ่านทางการโทรศัพท์

・เขารู้สึกเสียใจและนึกเสียดาย ถ้าตอนที่อยู่ในเครื่องบินเขามีโทรศัพท์ เขาคงไม่ต้องเลิกกับเธอ เขาคงจะสามารถถามเธอไปได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ สามารถถามความรู้สึกของเธอได้ไม่ใช่ปล่อยให้เธออยู่เพียงลำพัง

・ก่อนแยกจากกันกับเธอในวันนี้ เธอก็ได้ชวนเขาให้มาดูหนังด้วยกัน โดยให้เขาไปหาหนังที่ชอบมา ซึ่งจะมาดูด้วยกันในวันหลัง เนื่องจากเธอทำงานอยู่โรงหนังจึงสามารถขอยืมใช้โรงหนังหลังเวลาเลิกทำการได้

・เมื่อแยกจากกันอะโลฮ่า ปีศาจก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ได้ยื่นข้อเสนอว่า ถ้าต้องการยืดชีวิตอายุตัวเอง ต้องแลกกับการลบหนังออกจากโลกนี้


จบในส่วนของวันอังคาร 

    ★  ★  ★

ความเห็นเล็กๆน้อยๆ

ในตอนนี้พระเอกก็ได้เริ่มรู้สึกถึงผลกระทบที่เขาได้เลือกลบสิ่งของบางอย่างออกจากโลกไป สิ่งที่เคยทำจนชิน เมื่อจู่ๆหายไปก็รับรู้ได้ถึงความลำบาก ความไม่สะดวกสบายขึ้นมา ซึ่งตัวอย่างในตอนนี้ก็คือโทรศัพท์ได้หายไปจากโลก แต่เมื่อลองนึกย้อนกลับไปดีๆในอดีตเมื่อก่อนก็ไม่ได้มีโทรศัพท์แต่ผู้คนทุกคนก็สามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างสบายไม่ได้เดือนร้อนอะไร แต่พอเป็นปัจจุบัน แค่ตื่นนอนมาเราก็เผลอที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดก่อนโดยไม่รู้ตัว วันไหนที่ลืมโทรศัพท์ก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา นอกจากนั้นยัได้เห็นว่าการมีตัวตนของโทรศัพท์ขึ้นมามันทำให้เราสนใจสิ่งรอบข้างนั้นน้อยลง ไม่ว่าจะจำนวนคนที่อ่านหนังสือน้อยลงในรถไฟ หรือที่ในเรื่องนี้พระเอกได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ มันเป็นสาเหตุให้เขาต้องเลิกกับแฟน เพราะเขารู้สึกว่าถ้าไม่มีโทรศัพท์เขาก็ไม่สามารถสื่อความรู้สึกของเขาไปถึงเธอได้ การที่มีโทรศัพท์ทำให้คนเราเผชิญหน้ากันน้อยลงซึ่งได้กลายเป็นปัญหาในสังคมที่พบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบัน

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

世界から猫が消えたなら①



แค่ชื่อเรื่อง世界から猫が消えたならก็ฟังดูน่าสนใจแล้วใช่มะ?ถ้าแมวหายไปจากโลก

ถ้ามีแปลตรงไหนผิดพลาดไป มีจุดเข้าใจยากเขียนไม่รู้เรื่องก็ขออภัยด้วยนะคะ

ปกติอ่านอย่างเดียวไม่ค่อยได้มาแปลนู่นนี่หรอก555

แต่นี่มาเขียนเพราะว่าเขียนไว้เตือนความจำตัวเองด้วย อ่านแล้วชอบลืมOTL



เข้าสู่คำโปรยของเรื่อง


ถ้าแมวหายไปจากโลก..... โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ชีวิตของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ถ้าแมวหายไปจากโลก.....โลกก็อาจจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง วันพรุ่งนี้ก็อาจจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆเหมือนเดิม

คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นการเพ้อฝันที่ดูไร้สาระก็เป็นได้ แต่ก็อยากจะให้คุณเชื่อว่าเรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมจริงในช่วงเจ็ดวันนี้

เป็นเจ็ดวันที่แสนประหลาด

และจากนั้นอีกไม่นาน ผมกำลังจะตาย


ทำไมถึงเป็นอย่างนี้น่ะเหรอ

ผมตั้งใจว่าจะเขียนเหตุผลนี้ไว้ทีหลัง เพราะไม่งั้นคงเป็นจดหมายถึงคุณที่ยาวมาก
แต่ก็หวังว่าจะคุณจะตามไปกับผมจนจบ

แล้วก็นี่จะเป็นจดหมายครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ผมเขียนถึงคุณ

ใช่แล้ว นี่คือ จดหมายลาตายของผม

โดยต่อจากนี้ตัวเนื้อเรื่องจะแบ่งเป็นทั้งหมด7ตอน โดยแบ่งตามเรื่องราวในแต่ละวันที่เกิดขึ้นกับตัวเขานะคะ คงไม่ได้แปลทุกตัวอักษรแต่เป็นแนวสรุปคร่าวๆเนอะ

ตอนที่① วันจันทร์ : เมื่อปีศาจมาเยือน

ในเรื่องนี้ตัวเอกจะเป็นหนุ่มวัย30 ทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ อาศัยอยู่กับแมว แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบว่าตัวเขานั้นเป็นโรคเนื้องอกในสมองระยะที่4 และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วัน ในระหว่างที่กำลังหมดอาลัยตายอยาก ก็ได้มีปีศาจนามว่า "อะโลฮ่า" ที่มีหน้าตาเหมือนเขามาโผล่ขึ้นข้างหน้า โดยปีศาจอะโลฮ่าตนนี้ได้มาบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่7วัน แต่ก็มีข้อเสนอจะช่วยยืดอายุขัยให้โดยมีเงื่อนไขว่า ให้สามารถลบสิ่งของจากโลกนี้หนึ่งอย่างโดยแลกกับอายุเพิ่มอีกหนึ่งวัน

「この世界からひとつだけ何かを消す。その代わりに、あなたには一日命を得ることができる」

「何かを得るためには、何かを失わなくてはならない」เพื่อที่จะได้อะไรมา ก็ต้องมีบางอย่างที่สูญเสียไป....


เมื่อถูกยื่นข้อเสนอให้ เลยทำให้เขาได้คิดว่าถ้าเขาลบสิ่งของไปเรื่อยๆ ของบางอย่างที่มีบนโลกนี้ก็ได้แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ได้เสียหายอะไร ก็จะทำให้มีอายุเพิ่มขึ้นได้อีกทั้งยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไร

เขาจึงได้เริ่มบอกอะโลฮ่าให้ช่วยลบฝุ่นบนชั้นหนังสือ เชื้อราในห้องน้ำ แต่ทว่าอะโลฮ่าไม่ยอม เงื่อนไขการลบสิ่งของครั้งนี้อะโลฮ่าจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง

(ปีศาจนี่มันปีศาจจริงๆแฮะ=_=)

สักพักอะโลฮ่าจึงได้กวาดสายตาไปรอบห้องแล้วก็ไปเจอกับきのこの山

อะโลฮ่าเลยยื่นข้อเสนอว่าจะขอลบช็อกโกแลตได้มั้ย

ทางฝ่ายพระเอกก็คิดหนักกังวลไปต่างๆนานานถ้าช็อกโกแลตหายไปจากโลกนี้ มนุษย์ที่รักการกินช็อกโกแลตจะคร่ำครวญ กรีดร้องกันขนาดไหน ระดับน้ำตาลในเลือดของทนุษย์พวกนั้นอาจจะต่ำลง ไม่มีแรงที่จะใช้ชีวิตต่อ บลาๆๆๆ(เว่อร์ไปมั้ย。。。。)

แต่ในขณะที่เขากำลังจะขอให้อะโลฮ่าลบช็อกโกแลตออกไปจากโลก อะโลฮ่าได้ลองหยิบช็อกโกแลตมาชิมพอดี ปรากฏว่า อร่อย!!! อะโลฮ่าเปลี่ยนใจทันที ไม่ยอมลบช็อกโกแลตออกจากโลกด้วยเหตุผลที่ว่าของอร่อยแบบนี้ควรมีอยู่ต่อไป(อ้าววว แล้วชีวิตพระเอกของเราล่ะ?!)

สักพักอะโลฮ่าก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วถามเขาว่าถ้างั้นลบโทรศัพท์มือถือแทนดีมั้ย ระหว่างที่เขากำลังคิดอะโลฮ่าก็เร่งถามว่าจะลบไม่ลบ โดยเร่งนับถอยหลัง สุดท้าย เขาจึงรีบพูดว่าจะลบไป

แต่เมื่อพูดจบ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้โทรศัพท์ไปหาพ่อเลย ตั้งแต่ที่แม่ได้เสียชีวิตไป4ปี ก็ไม่เคยได้ติดต่อพ่ออีกเลย พ่อของเขาทำงานอยู่ที่ร้านนาฬิกาเมืองข้างๆ ในระหว่างที่กำลังนึกอยู่นั้น อะโลฮ่าก็บอกว่า เป็นเรื่องปกติที่เวลาจะลบของสักอย่างทุกคนจะคิดอะไรหลายๆอย่างขึ้นมา เพราะงั้นจึงมีข้อเสนอพิเศษให้คือ จะมีสิทธิ์ใช้ของชิ้นนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลบ

「一回だけ消すものを使ってもいいという権利」

เมื่อถูกบอกอย่างนั้น เขาจึงเริ่มกดไล่ดูชื่อในโทรศัพท์ เขานึกถึงพ่อเขาขึ้นมา แต่ไม่ได้เจอมาตั้ง4ปี จู่ๆจะโทรไปก็รู้สึกยังไงอยู่ เขาจึงไล่ดูชื่อต่อไป เป็นชื่อเพื่อนสนิทKของเขาตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ถ้าอยู่ๆจะไปบอกว่า"เดี๋ยวฉันจะตายแล้วนะ"หรือบอกว่า"จะลบโทรศัพท์แล้ว เลยจะโทรมาเป็นครั้งสุดท้าย" ถ้าพูดแบบนี้ไปก็คงจะโดนหาว่าบ้าอีก จึงเป็นอันยกเลิกที่จะโทรไปหาเพื่อนK เขาเลยคิดว่าถ้างั้นโทรไปหารุ่นพี่ที่ทำงานดีมั้ย แต่คิดไปคิดมารุ่นพี่ก็คงจะวุ่นกับการทำงานอยู่จะเป็นการรบกวน
ถึงแม้จะมีเบอร์โทรศัพท์อยู่ในเครื่อง แต่ท้ายสุดเขาก็ยังไม่สามารถเลือกได้ว่าจะโทรไปหาใครคนสุดท้าย

「僕には人生の最後に、電話で話す値する人がいなかった。それほどまでに希薄な人間関係の中で、僕という人間は生きてきた。」

แล้วในตอนนั้นเองเขาก็นึกถึงเบอร์โทรศัพท์เบอร์นึงออก เบอร์ที่ไม่ได้บันทึกลงในมือถือเขา

เมื่อโทรเสร็จอะโลฮ่าจึงได้ลบโทรศัพท์ออกไปพร้อมกับส่งวิ้งค์ให้ 

พร้อมกับหายตัวไปพร้อมโทรศัพท์

ทันใดนั้น

เขาจึงคิดได้ว่าเขาจะต้องรีบไปคนๆนั้นให้ได้ คนที่เขาโทรศัพท์ไปหาเป็นคนสุดท้าย

และเรื่องราวสุดแสนประหลาดในเจ็ดวันก็ได้เริ่มขึ้น




จบตอน①



พออ่านจบตอนแรก กลิ่นดราม่านี่ลอยมาเลย ถ้าใครหวังว่าอยากจะอ่านเรื่องนี้เพราะหน้าปกเป็นแมว เนื้อเรื่องน่าจะเกี่ยวกับแมวอาจจะผิดหวังได้เนอะ55555 แต่ก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องค่อนข้างน่าติดตามอยู่นะ ไว้เดี๋ยวมีเวลาแล้วจะมาเขียนเล่าต่อเน้

สารภาพว่าอ่านจบไป2ตอนแล้วยังไม่รู้ว่าควรจะวิเคราะห์ไปแนวไหนดีเลยล่ะค่ะ แหะๆTvT

ตาไดมะ

สวัสดีค่ะ กลับมาเขียนบล๊อกอีกรอบ ~

แต่กลับมาครั้งนี้ไม่ได้อัพเพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาApp jap lingแล้ว

แต่อันนี้อยากอัพเก็บเอาไว้อ่านเองด้วย



เข้าเรื่องเลย ตอนนี้อยู่ปี5ละ แล้วได้ลงวิชานวนิยายญี่ปุ่นร่วมสมัยไป

แล้วอาจารย์ก็ให้การบ้านมาว่าให้ไปหาหนังสือนิยายญี่ปุ่นเรื่องอะไรก็ได้หลังสงครามโลกครั้งที่2

มาวิเคราะห์



เอาล่ะสิ ปกติอ่านนิยายที่ไหนล่ะ(อ่านแต่การ์ตูน555) ก็นั่งนึกอยู่นานมาก เปิดเน็ตค้นแล้วค้นอีกว่าจะเอาเรื่องอะไรดี

นิยายที่น่าสนใจก็มีหลายเรื่องเลย แต่ประเด็นคือ ตัวเองจะสามารถอ่านให้จบและทำรายงานได้ทันรึป่าว ดังนั้นพวกเนื้อเรื่องยากๆหนาๆก็เป็นอันตกไป

ที่จริงอยากทำเรื่อง告白เพราะมีแบบแปลภาษาไทย(ดูเหมาะสำหรับคนขี้เกียจอ่านตัวหนังสือญี่ปุ่นเยอะๆแบบกิ555) แต่ก็มีเพื่อนทำไปแล้วไปทำซ้ำก็ไม่อยากอีก เลยต้องมาเริ่มหาใหม่ โดยพยายามหานิยายญี่ปุ่นที่มีแปลไทย ปรากฏว่าได้พบเรื่องน่าตกใจคือทำไมไทยมีนิยายแปลญี่ปุ่นอยู่น้อยมากกก!(ถ้าไม่นับพวกไลท์โนเวล) แล้วที่มีส่วนใหญ่ก็เป็นซีรีย์สืบสวนแทบทั้งนั้น ซึ่งกิไม่ได้ชอบแนวนี้ไง จะให้อ่านก็ไม่อยากอีก ทำไมชั้นเรื่องมากงี้=w=a



สุดท้ายก็ไปเจอกับหนังสือ世界から猫が消えたなら เห็นปกปุ๊ป นี่มันหนังสือที่เคยเห็นตอนไปทำไบต์ที่คิโนะนี่หน่า เลยลองอ่านเรื่องย่อดู เนื้อเรื่องก็น่าสนใจดี แล้วมีแค่200กว่าหน้า ยังพอดูมีปัญญาที่จะอ่านให้จบ ที่สำคัญคือเป็นเรื่องที่มีแพลนจะทำเป็นหนังในปีหน้าด้วย เพราะงั้นก็คาดหวังเนื้อเรื่องได้ในระดับนึงเนอะ และยังมีเเบบเวอร์ชั่นมังงะอีก ถึงจะไม่มีแปลไทย มีมังงะให้ดูก็คงช่วยได้เยอะอยู่ 

ในที่สุดก็เลยตัดสินใจว่าเอาเรื่องนี้แหล่ะ เรื่องที่ชั้นจะฝากชีวิตรายงานเทอมนี้เอาไว้5555



จะผ่านไม่ผ่านอีก3เดือนค่อยมาดูใหม่เนอะ=w=